Varnishing หรือ การเคลือบวานิช เป็นหัวข้อที่มีเนื้อหาเยอะมาก จึงขอแบ่งเขียนเป็น 2 ตอนนะคะ
ขอเริ่มที่ Varnish คืออะไร?
วานิชเป็นเคลือบใสบางๆ ทาอยู่ชั้นบนสุดของภาพสีน้ำมัน โดยมีส่วนผสมหลักคือเรซิ่น ซึ่งวานิชภาพสีน้ำมันนั้นเป็นสิ่งที่สามารถล้างออกได้
มีหลายคนสงสัยว่า ภาพสีน้ำมันเมื่อวาดเสร็จแล้วจำเป็นต้องลงเคลือบวานิชไหม? คำตอบคือ “จะเคลือบหรือไม่ก็ได้” ต้องดูเป็นกรณีไป อยู่ที่ว่าเคลือบไปเพื่ออะไร? เพราะบางภาพก็เคลือบไม่ได้ หรือไม่จำเป็นต้องเคลือบ จุดประสงค์ของการเคลือบวานิช 1. ช่วยให้ผิวงานมีความสม่ำเสมอกันมากยิ่งขึ้น ช่วยแก้ปัญหาสีจม จะเห็นผลได้ทันทีเมื่อเคลือบแห้ง 2. สร้างเอฟเฟคให้กับผิวงาน เช่น มันเงา หรือ ด้าน จะเห็นผลได้ทันทีเมื่อเคลือบแห้ง
3. ช่วยยืดอายุภาพวาด โดยปกป้องภาพจากแสงยูวีและมลภาวะ จะเห็นผลได้เมื่อเวลาผ่านไป เราต้องการบูรณะภาพและล้างเคลือบออก วานิชที่ดีเมื่อล้างออกแล้ว แม้เวลาผ่านไปเป็น 100 ปี ภาพก็ยังดูดีอยู่
ประเภทของเคลือบสีน้ำมัน
1. เคลือบแบบถาวร (Final Varnish)
2. เคลือบชั่วคราว (Retouching Varnish)
1. เคลือบแบบถาวร (Final Varnish)
เคลือบแบบถาวร เป็นประเภทวานิชที่ดีที่สุด มีคุณสมบัติครบทุกอย่าง กล่าวคือ ช่วยให้ผิวงานเสมอกัน แก้ปัญหาสีจม ปกป้องภาพจากแสงยูวีและมลภาวะ ถ้าต้องการยืดอายุภาพวาดให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้ เป็นหลัก 100 ปีขึ้นไป ควรใช้เคลือบแบบถาวรค่ะ ซึ่งเคลือบถาวรที่วางขายในท้องตลาด จะมีทั้งแบบเคลือบมัน, เคลือบด้าน และเคลือบซาติน
จุดที่ต้องระวัง คือ ควรเคลือบหลังจากสีน้ำมันแห้งสนิทถึงด้านในแล้วเท่านั้น ซึ่งใช้เวลาอย่างต่ำ 6 เดือนถึง 1 ปี กรณีที่ใช้สีหนาโดยไม่ใช้มีเดียมแห้งเร็วช่วยเลย ก็ต้องรอนานกว่านั้น ส่วนจะต้องรอนานแค่ไหน อยู่ที่ความหนาของสีและชนิดของ Pigment (บางภาพสีหนามากจนเป็น 100 ปียังไม่แห้งก็มี เช่นงานของศิลปินยุค impressionist ทำให้ไม่สามารถจะเคลือบภาพใดๆ ได้ ต้องเข้ากรอบกระจกแทน ) ดังนั้นถ้าใครเขียนสีน้ำมัน Impasto หนามากๆ โดยไม่ใช้มีเดียมช่วยให้แห้งไว ไม่ค่อยแนะนำให้เคลือบถาวรนะคะ
ถ้าลงเคลือบถาวรก่อนที่สีน้ำมันจะแห้งสนิท จะเกิดอะไรขึ้น?
ถ้าเคลือบก่อนเวลาอันควร ภาพอาจแตก หรือมีอายุสั้นลงได้ค่ะ
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
เพราะสีน้ำมันแห้งด้วยกระบวนการ Oxidation เมื่อชั้นสีได้ออกซิเจนในอากาศจะแข็งตัวขึ้นเรื่อยๆ จากด้านนอกสู่ด้านใน การทาเคลือบถาวรก่อนเวลา เหมือนไปหยุดกระบวนการ Oxidation ไม่ให้ภาพถูกอากาศ ทำให้สีด้านในไม่แห้งต่อ ชั้นสีจึงไม่แข็งแรง ถ้าอาการหนักภาพอาจแตกได้ค่ะ (ซึ่งถ้าเคลือบแล้วภาพอายุสั้นลง ก็ไม่ทราบจะทำเพื่ออะไร ดังนั้นถ้าไม่แน่ใจว่าสีแห้งสนิท ยังไม่ควรลงเคลือบถาวร)
ระยะเวลารอสีน้ำมันแห้งสนิท :
- ภาพสีน้ำมันทั่วไปจะแห้งสนิทถึงด้านใน ใช้เวลา 6 เดือนถึงหนึ่งปี
- ใครใช้สีหนาๆ โดยไม่ผสมมีเดียมแห้งไว อาจจะรอทิ้งไว้นานขึ้นกว่าหนึ่งปี ตัวอย่างเช่น 2+ ปีขึ้นไป
- แต่ถ้าใครใช้สีแคดเมียมโปะหนาเป็นนิ้ว โดยไม่ผสมมีเดียมแห้งไว ก็ไม่ต้องรอล่ะค่ะ คนวาดตายสียังไม่แห้งเลย ไม่ต้องหาเคลือบแล้ว 555
- ดังนั้นถ้าใครเขียน impasto แล้วอยากเคลือบงาน ก็ควรใช้มีเดียมแห้งไวช่วยค่ะ
---
2. เคลือบชั่วคราว (Retouching Varnish)
เคลือบชั่วคราว เป็นเคลือบที่ช่วยในการรีทัชชิ่ง ทำให้ผิวงานสม่ำเสมอกันมากขึ้นและแก้ปัญหาสีจม
ข้อดีของเคลือบชนิดนี้ คือ ไม่ต้องรอถึง 6 เดือน แค่สีด้านนอกแห้งก็ทาทับได้เลยสำหรับงานที่ต้องใช้ด่วน หรือถ้าใครอยากให้สีเซตตัวหน่อยก็รอให้แห้งประมาณ 1 เดือนแล้วค่อยทาทับก็ได้ เคลือบชั่วคราวที่วางขายในท้องตลาดส่วนใหญ่เป็นแบบเคลือบมัน
Retouching Varnish ที่จริงแล้วคือ เคลือบถาวรที่นำมาเจือจางเหลือประมาณ 10-20% ทำให้ได้ชั้นฟิล์มที่บางจนอากาศผ่านเข้าไปยังชั้นสีได้ ภาพยังหายใจได้อยู่ แต่ถ้าต้องการปกป้องชิ้นงานและยืดอายุภาพวาดให้ได้ยาวที่สุดจริงๆ ก็ควรรอเวลาสีแห้งสนิท(อย่างน้อย 6 เดือนถึงหนึ่งปี) แล้วลงเคลือบถาวรต่ออยู่ดี ดังนั้นถ้าใครรอได้ รอลงเคลือบถาวรไปเลยดีกว่า ตัวเดียวครบจบทุกอย่าง ถ้ารอไม่ได้ถึงค่อยใช้ Retouching Varnish (ซึ่งในโลกความเป็นจริง ส่วนใหญ่มันรอไม่ได้ เค้าถึงผลิตตัวนี้มาให้นักวาดรูปมืออาชีพใช้)
เมื่อทาเคลือบชั่วคราวแล้ว ไม่ควรเพ้นท์สีน้ำมันทับบนเคลือบอีก เพราะในอนาคตตอนที่เราล้างเคลือบออก สีจะหลุดติดมาพร้อมกับเคลือบด้วย
ถ้าภาพที่วาดเสร็จไม่เกิดปัญหาสีจม และคนวาดพึงพอใจกับผิวงานที่ออกมาแล้ว จะเลือกไม่เคลือบ Retouching Varnish ก็ได้เช่นกัน
---
สรุป : ภาพที่ควรเคลือบถาวร (Final Varnish)
ภาพที่ต้องการยืดอายุให้ยาวนานที่สุด
ภาพที่ต้องการการปกป้องจากแสงยูวีและมลภาวะ
ภาพที่อยากให้อยู่ได้ 100 ปีขึ้นไป
ภาพในมิวเซียม พิพิธภัณฑ์
ภาพที่ควรเคลือบชั่วคราว (Retouching Varnish)
ภาพที่ต้องใช้งานด่วน มีกำหนดส่งมอบงาน แสดงงาน
ภาพที่เคลือบถาวรไม่ได้
ภาพที่เกิดปัญหาสีจม สีด่าง
ภาพที่ต้องการให้ผิวงานมันเงาเสมอกันมากยิ่งขึ้น
ภาพที่เคลือบไม่ได้ หรือไม่จำเป็นต้องเคลือบ
ภาพที่สีด้านในยังไม่แห้งสนิท
ภาพที่ไม่เกิดสีจม และคนวาดพึงพอใจกับผิวงานแล้ว
ตัวอย่างเช่น ศิลปิน impressionist จะไม่นิยมเคลือบงาน เพราะนอกจากใช้สีหนาแล้ว ศิลปินกลุ่มนี้พอใจผิวงานที่ไม่เคลือบ ซึ่งเป็นเหตุผลด้านสุนทรียภาพ เพราะความจริงก็คือ เวลาเคลือบวานิชชนิดใดก็ตาม เอฟเฟคผิวงานจะเปลี่ยนไปจากเดิมเสมอ ศิลปินที่พอใจกับผิวงานเดิมอยู่แล้ว จึงเลือกไม่เคลือบนั่นเอง อย่างงานของ Monet ในมิวเซียมบางชิ้นก็ไม่ได้เคลือบ บางชิ้นที่สีหนามากก็อยู่ในกรอบกระจกค่ะ
ถ้าไม่เคลือบวานิชภาพจะอยู่ได้นานเท่าไหร่?
ถ้าดูแลรักษาดี ก็นานอยู่ค่ะ อย่างน้อย 50+ ปี อย่างภาพของ Monet ที่ไม่เคลือบวานิช อายุเป็น 100+ ปี ก็ยังดูดีอยู่ แต่ภาพเค้าอยู่ใน Museum Condition ที่มีการดูแลเป็นพิเศษด้วย ถ้าในสภาพ condition เดียวกัน ยังไงภาพที่เคลือบวานิชถาวรก็อยู่ได้นานกว่าค่ะ โดยภาพวาดจะอยู่ได้นานแค่ไหนนั้น หลักๆ อยู่ที่การดูแลรักษา รองมาคือวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้วาด ต่อให้ใช้ของดีเกรดพรีเมียมแค่ไหน แต่ดูแลไม่ดี ภาพก็พังเร็วค่ะ
ในแง่การปกป้องชิ้นงาน...ถ้าเคลือบวานิชถาวรได้ ย่อมดีกว่าไม่เคลือบแน่นอน แต่สุดท้ายต้องดูเป็นกรณีไป เพราะการจะเคลือบภาพๆ หนึ่ง มีหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเรื่องระยะเวลา การใช้งาน ลักษณะของภาพวาด ไปจนถึงเหตุผลด้านสุนทรียภาพนั่นเอง
#ฺvarnish #varnishing #finalvarnish #retouchingvarnish #sinkingin #oilpaintingvarnish #varnishornotvarnish #oilpainting #portraitpainting #customportraitpainting #oilpaintingcommission #paintyoustudio #เคลือบวานิช #เคลือบภาพสีน้ำมัน #วานิช #วานิชสีน้ำมัน #รีทัชชิ่งวานิช #เคลือบถาวร #เคลือบรีทัชชิ่ง #สีน้ำมันต้องเคลือบหรือไม่ #สีน้ำมัน #สีน้ำมันสำหรับผู้เริ่มต้น #ภาพสีน้ำมัน #ภาพเหมือนสีน้ำมัน #รับวาดภาพเหมือนสีน้ำมัน
Commentaires